วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

แรงบันดาลใจจากขุนเขา

แรงบันดาลใจจากขุนเขา

ที่แห่งหนึ่งในโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ที่ จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อพ.ศ.2548 ตอนนั้นผมยังเป็นทหารได้มีโอกาสถวายงานรักษาความปลอดภัยให้กับสมเด็จพระราชินี ขณะนั้นผมได้ยืนเป็นรั้วกั้นพื้นที่ไม่ให้ชาวบ้านเข้ามาประชิดกับพระราชินี ซึ่งเป็นระยะห่างพอสมควร แนวกั้นทหารนี้ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนนับพัน ซึ่งออกมาจากป่า หรือภูเขาซึ่งเราเรียกว่าชาวเขานั่นเอง มีหลายเผ่าด้วยกัน ต่างออกมารอรับเสด็จ  ผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาเลยว่า ในซอกหลืบของประเทศเราจะยังมีคนไทยที่หลบซ่อนอยู่ในป่าลึกขนาดนี้ สังเกตุเห็นส่วนใหญ่จะไม่ใส่รองเท้าและแต่งตัวแบบชนเผ่าอย่างจำแนกได้ชัดว่าไม่ใช่คนเมือง เป็นต้นว่า ชาวกระเหรี่ยง มูเซอ อาข่า ม้ง อีก้อ และ อื่นๆ .. นี่คือแผ่นดินไทยเหรอนี่..ผมอุทานในใจ.  เพราะไม่มีใครใช้ภาษาไทยสนทนาสื่อสารกันเลย   นอกจากพวกเขาจะมารอรับเสด็จแล้ว ส่วนหนึ่งยังมารอถวายสิ่งของให้กับพระราชินี ในนั้นจะรวมถึงงานศิลปะหัตถกรรมที่พวกเขามีอยู่ เช่น งานจักสาน ผ้าไหมทอลายต่างๆ ของป่า เช่นผลไม้ หรือบางทีก็เป็น ของตกแต่งน่าจะใช่ บางทีเป็นอุปกรณ์อะไรซักอย่างผมไม่เคยเห็น แต่เชื่อเหลือเกินว่า คนเหล่านี้มีความจงรักภักดีไม่น้อยไปกว่าคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศของเรา  เห็นแววตาและความมุ่งมั่นของพวกเขาแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ที่เกิดมาเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง
    

 แถวที่ผมได้ยืนอยู่นั้นเป็นแถวกั้นกลุ่มคนที่จะนำสิ่งของมาถวาย ซึ่งผมก็โชคดีจริงๆที่ได้ยืนอยู่บริเวณนั้น เพราะเป็นทางกั้นทางเข้าพอดี   เวลาผ่านไป5ชั่วโมง หรือครึ่งค่อนวันที่ผู้คนมารอรับเสด็จด้วยความอดทน 
      ในบรรดากลุ่มคนเหล่านั้น ส่วนหนึ่งจะมีบางกลุ่มที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของพวกนายหน้า หลอกให้ชาวเขาเอาผ้าที่มาจากการผลิตแบบอุตสาหกรรมมาถวาย ซึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อให้ทางศูนย์ศิลปาชีพรับซื้องานไว้เพื่อจะได้ขายต่อในระยะยาวตามออเดอร์ที่ทางศุนย์ส่งมา ซึ่งก็เป็นรายได้ที่งามพอสมควร แต่ปัญหาคือ กลุ่มคนที่ทำงานจริงๆมีน้อยมาก จึงมักถูกเอาเปรียบด้วยกลไกลเหล่านี้เอง คำถามคือ เมื่อพวกเขาไม่สามารถผลิตผ้าได้เองแล้ว พวกเขานำผลผลิตจากที่ใหนมาส่งให้ศุนย์ศิลปาชีพ ? ผลที่ตามมาคือ ไม่ได้เป็นการส่งเสริมอาชิพที่ยั่งยืน ผลประโยชน์ย่อมตกไปอยู่ในมือของกลุ่มที่ไม่ใช่เป้าหมาย และงานศิลปหัตถกรรมเหล่านี้ก็ค่อยๆหายไป จึงเป็นปัญหาที่ทางศุนย์เตรียมรับมือมาเป็นอย่างดี นั่นคือ จะมีกลุ่มผู้ชำนาญเฉพาะเรื่องผ้าไหมมาพิสูจน์กันตรงนั้นเลย ถ้าผ้าไหมของใครเป็นของแท้ทางโครงการก็จะรับซื้อและให้การสนับสนุน ถ้าของใครปลอม(เป็นผ้าทอเครื่อง) ก็ถูกปฏิเสธไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวน่าดู เพราะสถานการณ์มันค่อนข้างชุลมุนพอสมควรกับการสื่อสาร ด้วยเหตุนี้ทหารจึงมีบทบาทในการสกัดกั้นความวุ่นวายได้ในระดับที่เป็ประโยชน์
อย่างมาก
             เมื่อสมเด็จพระราชินีทรงเสด็จมาถึงเป็นเวลา บ่าย3โมงกว่าๆซึ่ง หมายความว่า ชาวบ้านมีเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่จะได้เข้าถวายสิ่งของก่อนที่ตะวันจะตกดินและพระราชินีต้องเสด็จกลับที่ประทับ  ผมสอบถามบางคนได้ความว่า ออกเดินทางมาจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดเป็นระยะทาง 10กว่ากิโลแม้ว บางคนเดินเท้า บางคนมากับรถบรรทุกสัตว์ของหมู่บ้าน เอาลูกเล็กเด็กแดงมาด้วย เพื่อหวังว่าครั้งหนึ่งจะได้เห็นแม่หลวงของพวกเขาอย่างไกล้ชิด


                

         มีความประทับใจอยู่ตอนหนึ่ง ผมยังจำแววตาของหนุ่มชาวเขาเผ่ามูเซอคนนั้นได้ดี  เขากำลังดันตัวเองแหวกฝูงชนเข้ามาอยู่ในแถวหน้าด้วยท่าทางมุ่งมั่น พร้อมกับถือท่อนไม้อันหนึ่งไว้ในมือ  เขายื่นหน้าเข้ามาถามผมว่า "ทหารครับ ทำอย่างไรผมจึงจะถวายงานชิ้นนี้ให้กับแม่หลวงได้   ผมตั้งใจแกะสลักมาหลายวัน เดินทางไกลมาที่นี่ เพราะได้ข่าวว่า แม่หลวงจะรับชาวเขาไปทำงานด้วย"  ผมได้ฟังถึงกับอึ้งไปชั่วขณะเพราะอดขำไม่ได้ จากท่าทางและคำพูดที่พอจะจับใจความได้ข้างต้น   ผมจึงถามชายหนุ่มกลับไปว่า แล้วคุณเอาอะไรมาถวาย  ชายหนุ่มยกท่อนไม้ให้ผมดูพร้อมกับทำท่ายืดอกด้วยความภาคภูมิใจ   ในสายตาผมแล้ว นี่เป็นเพียงท่อนไม้ธรรมดา ไม่อาจเรียกมันได้เต็มปากว่าเป็นงานแกะสลัก  แต่ด้วยแววตาคู่นั้น ทำราวกับว่า นี่คือที่สุดของความวิจิตรการ  สังเกตุได้จากอาการประคองท่อนไม้นั้น ราวกับบิดาผู้อุ้มบุตรไว้ในอ้อมแขน ผมจึงไม่อาจที่จะทำร้ายชายผู้นั้นด้วยทัศนคติที่มีอยู่ได้แต่อย่างไร  จึงถามต่อไปว่า นี่คุณใช้อะไรแกะสลัก เพราะเท่าที่ดูผมว่าไม่ใช่สิ่วแน่นอน  ชายหนุ่มตอบว่าใช้มีดอีโต้แกะเอา  ผมจึงไม่แปลกใจเลย แต่ก็ฝืนชมไปว่า สวยดี
ชายหนุ่มถามต่อในคำถามที่ผมไม่อาจให้คำตอบได้อีกครั้ง  ว่า ทำอย่างไรจึงจะให้แม่หลวงได้ทอดพระเนตรผลงานชิ้นนี้  ในใจของเขาคงหวังว่าทหารคงจะช่วยเขาได้   แต่ผมก็บอกไปว่า ต้องต่อแถวก่อนเพราะมีคนรอจะถวายงานมากมาย  เพียงแค่นี้ก็เห็นได้ว่าแววตาเขาสลดลงทันที เพราะตะวันไกล้จะ
ตกดินแล้วแต่คิวยังยาวเหยียดอยู่เป็นร้อยๆคน  ผมจึงอดไม่ได้ที่จะบอกให้ชายหนุ่มลองสมัครเข้าศูนย์ศิลปาชีพบางไทร โดยวิธีการแจ้งความประสงค์ไปที่ผู้ใหญ่บ้านและอำเภอเพื่อส่งเรื่องไปที่จังหวัดตามลำดับ เพราะได้ข่าวว่าไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเลย  ชายหนุ่มได้ฟังถึงกับเปล่งประกายแสงแห่งความหวังออกมาจากแววตาทันที เพราะคงเข้าใจว่า นี่คือคำตอบสำหรับความฝันของเขาเอง  ชายหนุ่มแสดงอาการดีใจ พร้อมกับถามผมต่อว่า  พี่ๆ ศูนย์นั่นอยู่ไกลมั้ย!...
ทุกวันนี้ผมยังอดห่วงชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ว่า สุดท้ายความฝันของเขาจะลงเอยอย่างไร   แต่สิ่งสำคัญที่เขาแสดงออกมาคือ เขาได้พยายามเดินเข้าหาความฝันแล้ว.....
เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆของคนๆหนึ่งที่ทำให้ผมกล้าเผชิญกับความฝันในโลกของความเป็นจริงจวบจนทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น