จริงอยู่..ที่สายน้ำไหลผ่านไปนั้นไม่มีวันหวนกลับ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภทที่นับเวลาแบบเดินหน้า 1-2-3-4
หรือแบบถอยหลัง 10-9-8-7 ก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเช่นเดิม คือ “ความเปลี่ยนแปลง” สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง แต่อะไรคือสาระแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น. ไม่ว่าสิ่งมีชีวิต
หรือวัตถุสสารที่ไม่มีชีวิตก็ล้วนขึ้นอยู่กับ..เหตุ..ที่ทำให้มันเกิด
และ..เหตุ..ที่ทำให้มันดับ “เมื่อสิ่งนี้มี
สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้
สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี
สิ่งนี้ย่อมไม่มี
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ” นี่เป็นสัจธรรม
ดังนั้นคงไม่มีใครปฏิเสธเรื่องความเปลี่ยนแปลงไปได้
ย้อนไปเมื่อ7ปีที่แล้ว (จากปัจจุบัน 2558) ใครได้มาเยือนเชียงแสน
คงไม่ลืมภาพมนต์เสน่ห์แห่งเมืองโบราณอันมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ภาพแรกที่เห็นตอนเข้าเมืองคือต้นไม้ใหญ่สองข้างทางร่มรื่น ยืนต้นเรียงกันแผ่กิ่งก้านเขียวชอุ่มชุ่มเย็น ทอดนำสายตา ค่อยๆคลี่เปิดม่านบังแดดต้อนรับแขกผู้มาเยือนเข้าไปสู่อาณาจักรผ่านประตูกำแพงเมืองโบราณอันงามสง่าน่าเกรงขาม แต่ภาพเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว เราจะไม่โทษว่าเป็นฝีมือของใครกลุ่มใดที่ฉกฉวยและกระชากเอาทรัพย์สินที่เป็นม่านประดับหน้าบ้านของเราไป
เพราะเราทุกคนต่างมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงนั้น
ซึ่งคนเชียงแสนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนเชียงแสนด้วยจิตวิญญาณและสายเลือด ทำให้ปัจจุบันอำเภอเล็กๆแห่งนี้กลายเป็น สหธานีแห่งใหม่
รวมผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์เข้ามาอาศัยกอบโกยและขุดทอง ดิ้นรนชีวิตไปตามกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ เป็นสิ่งที่คลืบคลานรุกล้ำและบั่นทอนอายุไขซากอารยธรรมเมืองโบราณแห่งนี้ให้สั้นลงไปทุกขณะๆ
แล้วอะไรคือตัวกำหนดทิศทางของเมืองนี้
?... เราไม่มีเทศบัญญัติที่ศักดิ์สิทธิ์พอที่จะคุ้มครองโบราณสถาน..
ใครใคร่สร้างอะไรก็สร้าง ใครใคร่ถมอะไรก็ถม
ใครใคร่ทำอะไรก็ทำ เป็นที่น่าใจหายว่าอีกหน่อยเชียงแสนคงเป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่เก็บภาพถ่ายสวยๆไว้ให้ดูในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น
ทั้งๆที่เชียงแสนเป็นเมืองเล็กๆที่ขึ้นชื่อว่ามีโบราณสถานเก่าแก่ที่เยอะที่สุดในประเทศไทยถ้าเทียบวัดความหนาแน่นกันเป็นตารางเมตรแล้ว
โจทย์ที่ยากที่สุดของการอนุรักษ์ก็คือ
การปลูกจิตสำนึกความรักษ์และหวงแหนลงไปในหัวใจของคนในชุมชนมากกว่าการบูรณะซ่อมแซมต่อเติมวัตถุสถาน ที่เพียงภายนอก
ตัวอย่างความล้มเหลวในการจัดการที่เห็นได้ชัดและเป็นกรณีศึกษาของโลก(ก็ว่าได้)คือเมืองเชียงแสนนี่แหละ
น่าเศร้าเพราะเราเป็นเมืองเล็กๆที่ดูเหมือนจะขาดการเหลียวแลเอาใจใส่จากภาครัฐเรื่องการส่งเสริมบูรณาการจัดระเบียบเพื่อพัฒนาให้เมืองนี้ขยับออกห่างจากคำว่าล่มสลายทางประวัติศาสตร์และร่องรอยแห่งวัฒนธรรม
(แทนที่จะมัวไปสนใจจัดระเบียบชายหาดเพียงเพื่อต้องการสร้างภาพลักษณ์หน้าตาของประเทศเพื่อดึงเม็ดเงินการท่องเที่ยวแค่หยิบมือในระยะเวลาสั้นๆ)
จริงอยู่ที่เรามีงบประมาณในการบำรุงรักษาซ่อมแซมโบราณสถานเพื่อไม่ให้ทรุดโทรมพังทลาย
แต่จริงๆแล้วเท่านี้ยังไม่เพียงพอสำหรับการต่อเติมลมหายใจอันโรยรินของเมืองโบราณแห่งนี้
ขอบคุณมากสำหรับร่มเงาพาดผ่านของโครงการ
AEC ที่พาเอาตึกใหญ่ๆโครงการจัดสรรอาคารพาณิชย์,
โรงแรม, รีสร์อท ให้เข้ามาบดบังทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำโขงจนมืดมิด
ขอบคุณสำหรับถนนสี่เลนที่อุตส่าห์แวะเข้ามาเทียบประชิดหน้าบ้านของเราและพาเอาต้นไม้ใหญ่ๆอายุร่วมหลายร้อยปีที่หน้าบ้านไปหลายสิบต้น แต่ยังดีที่เหลือบางต้นบริเวณทางเข้าซุ้มประตูอิฐไว้ให้ดูต่างหน้า ขอบคุณสำหรับความตื่นตัว(ตื่นตูม)ของความคาดคะเนว่าเศรษฐกิจที่นี่จะไปได้ดีจนพาเอาตึกแถวสูงสามชั้นเดินขบวนพาเหรดพร้อมชูป้ายประกาศว่า..ขาย-ให้เช่า
ตั้งแถวยาวขนาบสองฟากฝั่งถนนกระจายเต็มไปทั่วเมือง
ซึ่งพลอยทำให้ราคาที่ดินเชียงแสนพุ่งทะยานขึ้นหลายเท่าตัวสูงกว่าราคากลางซื้อขายที่ดินในกรุงเทพฯและเขตปริมณฑลภายในชั่วเวลาข้ามคืน(จนน่าเอาไปลงสถิติ)
ขอบคุณสำหรับอาชีพใหม่ๆอย่างอาบอบนวด.....ที่รอขึ้นบัญชี Unseen Thailand ในอนาคตอีกไม่ไกล ขอบคุณที่ทำให้นักท่องเที่ยวและฝรั่งมังค่า งง
เป็นไก่ตาแตกว่าทำไมเมืองนี้ไม่เหมือนใน Review การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. นั่นคงเป็นเพราะวันนี้เชียงแสนเจริญขึ้น(งั้นหรือ)
เราจะไม่กล่าวโทษผู้ใดว่ามีส่วนมากน้อยในความหายนะทางวัฒนธรรมนี้
เพราะต่อให้เทวดาก็คงช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้
แต่เราขอฝากสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า “ความคิด” ให้กับสังคมที่ว่า..เรื่องโบราณ ไม่ใช่เรื่องของคนที่มีหัวโบราณ
เรื่องสมัยใหม่ ไม่ใช่เรื่องของคนที่ทำตัวสมัยใหม่ แต่มันเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์และความมีการศึกษา
ที่ไม่ได้วัดกันที่ใบประกาศดีกรีปริญญา-ด็อกเตอร์แต่มันวัดกันที่ความมีจิตสำนึก
ในด้าน “คุณธรรมจริยธรรม”
ในด้าน “คุณธรรมจริยธรรม”