วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

ถึง..เชียงแสน..แด่ลมหายใจที่โรยริน




จริงอยู่..ที่สายน้ำไหลผ่านไปนั้นไม่มีวันหวนกลับ  ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภทที่นับเวลาแบบเดินหน้า 1-2-3-4 หรือแบบถอยหลัง 10-9-8-7 ก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเช่นเดิม คือ “ความเปลี่ยนแปลง”   สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง  แต่อะไรคือสาระแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น.  ไม่ว่าสิ่งมีชีวิต หรือวัตถุสสารที่ไม่มีชีวิตก็ล้วนขึ้นอยู่กับ..เหตุ..ที่ทำให้มันเกิด และ..เหตุ..ที่ทำให้มันดับ  “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี  เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น  เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี  เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ”  นี่เป็นสัจธรรม ดังนั้นคงไม่มีใครปฏิเสธเรื่องความเปลี่ยนแปลงไปได้

            ย้อนไปเมื่อ7ปีที่แล้ว (จากปัจจุบัน 2558) ใครได้มาเยือนเชียงแสน คงไม่ลืมภาพมนต์เสน่ห์แห่งเมืองโบราณอันมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ภาพแรกที่เห็นตอนเข้าเมืองคือต้นไม้ใหญ่สองข้างทางร่มรื่น ยืนต้นเรียงกันแผ่กิ่งก้านเขียวชอุ่มชุ่มเย็น ทอดนำสายตา ค่อยๆคลี่เปิดม่านบังแดดต้อนรับแขกผู้มาเยือนเข้าไปสู่อาณาจักรผ่านประตูกำแพงเมืองโบราณอันงามสง่าน่าเกรงขาม  แต่ภาพเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว  เราจะไม่โทษว่าเป็นฝีมือของใครกลุ่มใดที่ฉกฉวยและกระชากเอาทรัพย์สินที่เป็นม่านประดับหน้าบ้านของเราไป เพราะเราทุกคนต่างมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงนั้น  ซึ่งคนเชียงแสนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนเชียงแสนด้วยจิตวิญญาณและสายเลือด ทำให้ปัจจุบันอำเภอเล็กๆแห่งนี้กลายเป็น สหธานีแห่งใหม่ รวมผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์เข้ามาอาศัยกอบโกยและขุดทอง ดิ้นรนชีวิตไปตามกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ เป็นสิ่งที่คลืบคลานรุกล้ำและบั่นทอนอายุไขซากอารยธรรมเมืองโบราณแห่งนี้ให้สั้นลงไปทุกขณะๆ

            แล้วอะไรคือตัวกำหนดทิศทางของเมืองนี้ ?... เราไม่มีเทศบัญญัติที่ศักดิ์สิทธิ์พอที่จะคุ้มครองโบราณสถาน.. ใครใคร่สร้างอะไรก็สร้าง ใครใคร่ถมอะไรก็ถม ใครใคร่ทำอะไรก็ทำ  เป็นที่น่าใจหายว่าอีกหน่อยเชียงแสนคงเป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่เก็บภาพถ่ายสวยๆไว้ให้ดูในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น   ทั้งๆที่เชียงแสนเป็นเมืองเล็กๆที่ขึ้นชื่อว่ามีโบราณสถานเก่าแก่ที่เยอะที่สุดในประเทศไทยถ้าเทียบวัดความหนาแน่นกันเป็นตารางเมตรแล้ว


            โจทย์ที่ยากที่สุดของการอนุรักษ์ก็คือ การปลูกจิตสำนึกความรักษ์และหวงแหนลงไปในหัวใจของคนในชุมชนมากกว่าการบูรณะซ่อมแซมต่อเติมวัตถุสถาน ที่เพียงภายนอก ตัวอย่างความล้มเหลวในการจัดการที่เห็นได้ชัดและเป็นกรณีศึกษาของโลก(ก็ว่าได้)คือเมืองเชียงแสนนี่แหละ  น่าเศร้าเพราะเราเป็นเมืองเล็กๆที่ดูเหมือนจะขาดการเหลียวแลเอาใจใส่จากภาครัฐเรื่องการส่งเสริมบูรณาการจัดระเบียบเพื่อพัฒนาให้เมืองนี้ขยับออกห่างจากคำว่าล่มสลายทางประวัติศาสตร์และร่องรอยแห่งวัฒนธรรม (แทนที่จะมัวไปสนใจจัดระเบียบชายหาดเพียงเพื่อต้องการสร้างภาพลักษณ์หน้าตาของประเทศเพื่อดึงเม็ดเงินการท่องเที่ยวแค่หยิบมือในระยะเวลาสั้นๆ)  จริงอยู่ที่เรามีงบประมาณในการบำรุงรักษาซ่อมแซมโบราณสถานเพื่อไม่ให้ทรุดโทรมพังทลาย แต่จริงๆแล้วเท่านี้ยังไม่เพียงพอสำหรับการต่อเติมลมหายใจอันโรยรินของเมืองโบราณแห่งนี้

            ขอบคุณมากสำหรับร่มเงาพาดผ่านของโครงการ AEC ที่พาเอาตึกใหญ่ๆโครงการจัดสรรอาคารพาณิชย์, โรงแรม, รีสร์อท ให้เข้ามาบดบังทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำโขงจนมืดมิด  ขอบคุณสำหรับถนนสี่เลนที่อุตส่าห์แวะเข้ามาเทียบประชิดหน้าบ้านของเราและพาเอาต้นไม้ใหญ่ๆอายุร่วมหลายร้อยปีที่หน้าบ้านไปหลายสิบต้น แต่ยังดีที่เหลือบางต้นบริเวณทางเข้าซุ้มประตูอิฐไว้ให้ดูต่างหน้า   ขอบคุณสำหรับความตื่นตัว(ตื่นตูม)ของความคาดคะเนว่าเศรษฐกิจที่นี่จะไปได้ดีจนพาเอาตึกแถวสูงสามชั้นเดินขบวนพาเหรดพร้อมชูป้ายประกาศว่า..ขาย-ให้เช่า ตั้งแถวยาวขนาบสองฟากฝั่งถนนกระจายเต็มไปทั่วเมือง ซึ่งพลอยทำให้ราคาที่ดินเชียงแสนพุ่งทะยานขึ้นหลายเท่าตัวสูงกว่าราคากลางซื้อขายที่ดินในกรุงเทพฯและเขตปริมณฑลภายในชั่วเวลาข้ามคืน(จนน่าเอาไปลงสถิติ)   ขอบคุณสำหรับอาชีพใหม่ๆอย่างอาบอบนวด.....ที่รอขึ้นบัญชี Unseen Thailand ในอนาคตอีกไม่ไกล   ขอบคุณที่ทำให้นักท่องเที่ยวและฝรั่งมังค่า งง เป็นไก่ตาแตกว่าทำไมเมืองนี้ไม่เหมือนใน Review การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.  นั่นคงเป็นเพราะวันนี้เชียงแสนเจริญขึ้น(งั้นหรือ)

เราจะไม่กล่าวโทษผู้ใดว่ามีส่วนมากน้อยในความหายนะทางวัฒนธรรมนี้ เพราะต่อให้เทวดาก็คงช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้  แต่เราขอฝากสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า “ความคิด” ให้กับสังคมที่ว่า..เรื่องโบราณ ไม่ใช่เรื่องของคนที่มีหัวโบราณ  เรื่องสมัยใหม่ ไม่ใช่เรื่องของคนที่ทำตัวสมัยใหม่ แต่มันเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์และความมีการศึกษา ที่ไม่ได้วัดกันที่ใบประกาศดีกรีปริญญา-ด็อกเตอร์แต่มันวัดกันที่ความมีจิตสำนึก
ในด้าน “คุณธรรมจริยธรรม”


วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

สารจาก Blogger

มีกล้วยแขกมาขาย
มีใครเคยทานกล้วยแขกสมัยที่แม่ค้ายังใช้กระดาษหนังสือพิมพ์พับห่อเป็นถุงรึปล่าวครับ ผมคนหนึ่งละ
ที่เคย. อ้อ !.. เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนนั้นผมกินกล้วยแขกไปด้วยและอ่านข้อความจากหนังสือพิมพ์ไปด้วย  พอลองนึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ในอดีต ก็เลยนึกถึงสิ่งที่เราๆท่านๆกำลังนั่งหลังขดหลังแข็ง
ถ่ายทอดบทความป้อนลงไปในโลกโซเชี่ยล อย่างพวกเราๆท่านๆ Blogger ทั้งหลายกำลังทำอยู่
ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าคุณค่าของตัวอักษรเรื่องราวและรูปภาพเหล่านี้อาจจะคล้ายกับตัวหนังสือและภาพประกอบบนถุงห่อกล้วยแขกแห่งยุคสมัยนี้ก็เป็นได้    วันหนึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นยาวนานไปในอนาคต
ซึ่งเจ้าของบทความทั้งหลายอาจมีชีวิตยืนยาวไม่ถึงวันนั้น  10 ปี 20 ปี 50ปี 100 ปี  หรือ 1,000 ปี ใครจะรู้
ว่าจารึกที่มีคุณค่าบนถุงกล้วยแขกในอดีตจะกลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าแห่งมวลมนุษยชาติ..!  555
ตลกฝืดไปหน่อย แต่ก็ช่างปะไร วันนี้ผมมีกล้วยแขกมาขาย ใครสนใจเอาไปกินฟรีไม่คิดตังค์ ..




สอนวาดภาพสไตล์ Impressionism

การวาดรูปปลาคาร์ฟ

      หากใครมีเวลาว่างและอยากลองวาดภาพไว้ประดับฝาผนังที่บ้านซักภาพ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
วันนี้ผมมีบทความสาธิตการวาดภาพปลาคาร์ฟพร้อมแสดงตัวอย่างและคำอธิบายอย่างละเอียด
เอาไว้ใน Blog นี้ซึ่งเป็นรูปแบบการสร้างสรรค์เฉพาะตัวในสไตล์ Impressionism ซึ่งไม่เน้น
แสดงรายละเอียดของภาพแต่จะเน้นในเรื่ององค์ประกอบด้าน แสง สี และรูปแบบการนำเสนอที่มีผล
โดยตรงต่ออารมณ์ความรู้สึกในการถ่ายทอดผลงานไปสู่การรับรู้ของผู้ชมผลงาน





 เริ่มจากการร่างภาพปลาคาร์ฟลงบนเฟรมผ้าใบ จัดองค์ประกอบภาพโดยเน้นจุดสนใจให้อยู่กลางภาพ
ลองสมมติว่าหัวปลาคือปลายลูกศรที่ชี้กำหนดทิศทางสิครับ ถ้าคุณชี้ไปทางใหน จุดสนใจก็จะอยู่ใน
ทิศทางนั้นวิธีนี้จะช่วยให้ภาพวาดปลาคาร์ฟมีเรื่องราวและพลัง


วิธีการวาดภาพของผมจะใช้สีอะคิริกในเทคนิคการวาดแบบสีน้ำมัน คือจะบีบสีลงไปบนจานสีโดยไม่ผสมน้ำ เพียงแต่ใช้น้ำเป็นตัวควบคุมความลื่นไหลของสีเวลาระบายลงบนพื้นผ้าใบเท่านั้น เนื้อสีที่ได้จึงมี
ความข้นหนาเพื่อช่วยสร้างรอยทีแปรงที่มีมิติ (Texture)ในสไตล์ Impressionism



เริ่มจากผสม Cerulean Blue กับ Yellow Ochre เพื่อให้ได้สีเขียวใบมะกอกสำหรับ
ใช้ทาพื้นน้ำที่เป็นฉาก(ฺBackground)ของภาพ


ไล่เฉดสีไปพร้อมกันเพื่อสร้างค่าน้ำหนักของสีสว่าง ด้วยสีขาว Titanium White เกลี่ยสีเข้าหากันโดย
ไม่ต้องให้สีไล่ระดับเข้าหากันแบบกลมกลืน  เกลี่ยแบบลวกๆแต่ต้องให้สีกลบผิวผ้าใบให้แนบสนิท
ไม่เว้นช่องว่างให้เห็นลายผ้า



ระบายสีลงไปในส่วนพื้นน้ำ(ฺBackground)ให้ทั่ว โดยเว้นตัวปลาเอาไว้ ในขั้นตอนนี้สามารถทำได้รวดเร็วโดยไม่มต้องใช้ความพิถีพิถันมากนัก ซึ่งสามารถให้สีพื้นเหลื่อมล้ำเข้าไปในตัวปลาได้แต่ต้องเหลือเค้าโครงที่จำเป็นเอาไว้ ส่วนที่เป็นครีบหรือหาง ก็สามารถทับสีลงไปทีหลังจะง่ายกว่าเพราะเป็นอวัยวะที่
บางโปร่งแสงซึ่งมันจะดูกลืนเป็นสีเดียวกับพื้นน้ำ



จากนั้นก็เริ่มระบายสีของตัวปลาโดยเริ่มจากสีพื้นผิวของปลานั้นๆ ในที่นี้ผมใช้สี  Cerulean Blue กับ Titanium White ผสม Yellow Ochre นิดหน่อยเพื่อให้ได้สีฟ้าอมเขียวเป็นสีพื้นผิวของปลาที่มีสีขาว 
และเน้นรูปทรงของปลารอบๆโครงร่างด้วยสี  Prussion Blue เพื่อสร้างเงาสะท้อนของปลาที่กำลัง
แหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำ


ระบายสีแบบเดียวกันกับปลาทุกตัวที่มีพื้นผิวเป็นสีขาว โดยไม่ต้องสนใจลายจุดสีสันบนตัวปลา
นี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่ผมใช้อยู่ สามารถทำให้เราวาดภาพปลาคาร์ฟได้รวดเร็วยิ่งขึ้น



จากนั้นก็ระบายสีพื้นของปลาที่มีผิวสีแตกต่างจากสีขาว  ในที่นี้เป็นปลาที่มีพื้นผิวสีทอง ผมเลือกใช้สี Lemon Yellow ลงพื้นโดยให้ค่าน้ำหนักด้วยสี Yellow Ochre เกลี่ยผสมกันเพื่อสร้างมิติแสงเงาที่ตกกระทบบนตัวปลา







เมื่อลงพื้นสีของปลาทุกตัวเสร็จแล้วจึงเริ่มระบายเงาที่ตกกระทบลงก้นสระใต้ตัวปลา โดยพิจารณาทิศทางจากจุดกำเนิดที่แสงกระทบบนตัวปลาด้านที่สว่างที่สุด ในส่วนตรงข้ามทิศทางของแสงนั่นคือเงาที่
ผมใช้ใช้สี Prussion Blue ผสมกับ Yellow Ochre เพื่อให้ได้สีน้ำเงินอมเขียว



การระบายเงาตกกระทบในนี้ผมจะใช้การเน้นเงาใต้ตัวปลาแบบสร้างความเคลื่อนไหว เพราะในความเป็นจริงปลาไม่ได้ว่ายน้ำอยู่นิ่งๆ ดังนั้นลักษณะของเงาที่ผมสื่อออกมาจึงมีความกระจายตัวพุ่งออกไป เพื่อหวังผลในการสร้างความรู้สึกเคลื่อนไหวในภาพเขียน


ต่อด้วยการแต้มสีขาวในการสร้างริ้วรอยของกระแสน้ำในทิศทางที่ปลากำลังแหวกว่ายอยู่ ขั้นตอนนี้
อาจต้องใช้ความเร็วในการสบัดปลายพู่กันเพื่อให้เกิดทีแปรง(Brush stroke)ที่เป็นธรรมชาติ ดูแล้ว
ไม่แข็งกระด้างและช่วยสร้างความรู้สึกของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่




จากนั้นก็ถึงเวลาใส่รายละเอียดลงไปบนตัวปลา ในที่นี้ผมเริ่มจากปลาที่มีแต้มจุดสีแดง โดยใช้สีแดง Cadmium Red เป็นส่วนของสีที่อยู่ไกล้ ส่วนสีแดงที่อยู่ลึกลงไปใช้สีแดง Crimson Red 




พึงระลึกไว้เสมอว่า ทีแปรง(Brush stroke)เป็นเทคนิคสำคัญที่ใช้กับภาพเขียนสไตล์  Impressionism 
ดังนั้นแม้แต่แต้มจุดบนตัวปลาเราก็ยังต้องทิ้งร่องรอยของทีแปรงลงไปด้วย


เมื่อสีแต้มสีแดงจนครบทุกตัว ก็เริ่มแต้มจุดสีดำลงบนตัวปลาแต่ละตัวเป็นลำดับต่อมา เพราะสีดำ
สามารถทับลงบนสีแดงได้อย่างสนิท ในกรณีนี้ต้องรอให้สีแดงแห้งก่อนนะครับ หรือเพื่อไม่ให้เป็น
การเสียเวลา ผมจึงแต้มสีลงบนปลาสีทองที่มีจุดสีดำสลับกันระหว่างรอแต้มสีดำบนสีแดงที่ยังไม่แห้ง


ต่อมาก็แต้มดวงตาลงไปด้วยสีดำ และใส่แววตาด้วยสีขาว อาจแต้มสีฟ้าเพื่อสะท้อนลงบนตาสีดำด้วยก็ได้ แต่ต้องดูทิศทางของหัวปลาด้วยครับว่ามีองศาบิดขึ้นหรือลง เพราะภาพนี้มองจากด้านบนลงมาจึง
แทบมองไม่เห็นตาของปลาจากมุมมองนี้




ต่อมาเก็บรายละเอียดตรงส่วนที่เป็นแสงสะท้อนลงบนตัวปลา เพื่อเพิ่มมิติของวัตถุตามหลักแสงและเงา ในที่นี้ผมใช้สีขาวผสมกับสี้พื้นของปลาสีต่างๆเพื่อให้ได้สีของแสงที่สว่างขึ้น โดยแต้มลงบนผิวปลาในลักษณะที่คล้ายเกล็ดปลาบนสีนั้นๆ เช่น แต้มแสงสีแดงด้วยสีขาวอมแดง  แสงสีเหลืองด้วยสีขาวอมเหลือง เป็นต้น



จากนั้นก็เก็บรายละเอียดของภาพอีกครั้ง เป็นการดูภาพรวม ความสมจริงและตรวจหาจุดบกพร่อง


และที่ขาดไม่ได้เพื่อให้รู้ว่าภาพวาดเป็นภาพที่มองจากด้านบนผิวน้ำลงมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีวัตถุหรือพืชลอยอยู่บนผิวน้ำ ในที่นี้ผมใช้สีเขียว Permanent Green Deep แต้มและตวัดปลายพู่กันเป็นพืชที่ลอยอยู่ โดยจัดวางองค์ประกอบตามความรู้สึก หรือตามแบบที่กำลังวาดก็ได้



จากนั้นใส่เงาใต้พืชที่ลอยอยู่ในทิศทางตรงข้ามกับแสง ในที่นี้ผมใช้ Permanent Green Deep ผสมกับ
Crimson Red เพื่อให้ได้สีเชียวแก่เป็นเงาที่ตกกระทบลงบนผิวน้ำ



จากนั้นก็แต้มแสงลงบนพืชที่ลอยอยู่ โดยใช้สีเขียวอ่อน Permanent Green Light


เพิ่มแสงสะท้อนลงไปในน้ำ โดยใช้สีขาวอมฟ้าตวัดเป็นริ้วคลื่นบนผิวน้ำตามทิศทางการเคลื่อนที่ของ
ตัวปลาเพื่อเน้นอารมณ์เคลื่อนไหวให้ภาพดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น


เก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็เป็นอันเสร็จสิ้น



ขอสงวนลิขสิทธิ์เพื่อการศึกษาใน Blog นี้เท่านั้น
 ห้ามนำเนื้อหาและภาพไปใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์
ในรูปแบบใดๆ ยกเว้นจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น


ฝากติดตามผลงานศิลปินเจ้าของความรู้
ด้วยนะครับ









วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

โมเดลรถกระป๋องไทย หัวใจรีไซเคิ้ล



กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของบ้านเราไปแล้ว กับภาพรถตุ๊กๆ และสามล้อถีบ ที่มีแรงดึงดูดให้ชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์และวิถีชีวิตของผู้คนในบ้านเมืองเรา  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของรถกระป๋องน้ำอัดลม ที่เกิดจากการใช้ความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นอดทน จนได้ชิ้นงานประดิษฐ์ที่ติดตาตรึงใจผู้ได้พบเห็น  ตอกย้ำความเป็น Amazing Thailand


จากกระป๋องน้ำอัดลมไร้ค่า คุณอภินันท์ ลาภเกียรติสกุล ก็เป็นคนหนึ่งที่หลงไหลและมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียงกับการนำเอากระป๋องน้ำอัดลมมาแปรรูปเป็นของที่ระลึกสวยๆน่ารักอย่าง รถถีบสามล้อ รถตุ๊กๆ จักรยาน และของที่ระลึกต่างๆ

คุณอภินันท์ได้เล่าเรื่องชีวิตก่อนหน้านี้ว่า  แต่ก่อนอยู่แถวภูเก็ต เป็นลูกจ้างในร้านอาหาร หลังจากประสบเคราะห์ภัยคลื่นสึนามิถล่ม เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 47 จากนั้นจึงเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ ได้ฝึกหัดทำรถดัดลวดกับเพื่อนพอเป็นแนวทาง ต่อมาก็ได้มาอยู่เชียงใหม่ จึงลองทำขายที่ไนท์บาร์ซาร์ ปรากฏว่าชาวต่างชาติได้ให้ความสนใจเป็นอย่างดี  นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบัน คุณคุณอภินันท์ ได้ย้ายมาอยู่เชียงราย เพราะเป็นเมืองสงบและน่าอยู่ ประกอบกับมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญไม่แพ้เชียงใหม่โดยเฉพาะตลาดไนท์บาซาร์ของเชียงราย 



นับว่าเป็นงานอดิเรกที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ไม่น้อย การลงทุนก็ไม่มากเพียงแค่ซื้อกระป๋องน้ำอัดลมที่ยังสมบูรณ์หรือเบียร์มาในราคากระป๋องละ1บาท ส่วนอุปกรณ์ก็จะมีเส้นลวดเบอร์ 16 สายยางสีต่างๆสำหรับตกแต่งตัวรถ มีดตัด คัทเตอร์ ฟองน้ำสีดำ วิธีทำก็ไม่ยากนัก อย่างสามล้อถีบคันหนึ่งใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง ตอนแรกต้องร้อยสายยางสีไปพร้อมกับขึ้นลวด ดัดจากแฮนด์มือก่อน และไล่ลงมาจากหน้ารถมายังท้ายแล้วตัดกระป๋อง เน้นให้โชว์ในส่วนโลโก้ หรือลายกราฟฟิกหลักๆไว้สำหรับทำเป็นส่วนของหลังคารถสามล้อ  จากนั้นตัดสายยางเข้าขอบ ขึ้นรูปและตกแต่งเก็บรายละเอียดให้สวยงามไม่ให้มีอันตรายจากความคมของกระป๋อง
สำหรับใครที่สนใจ ถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวไนท์บาซาร์ที่เชียงราย ก็ลองแวะไปอุดหนุนคุณอภินันท์ได้ โทร 0827646591
(บทความนี้เขียนเมื่อปี พ.ศ.2554)