วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

สอนวาดรูปลงบนก้อนหิน # 1

  ใครจะรู้ว่าก้อนหินก้อนหนึ่งสามารถเป็นสื่อนำทางให้นักแกะรอยได้ค้นพบหนทางไปสู่จุดหมายปลายทาง ซึ่งในที่นี้ศิลปะก็เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการบุกเบิกค้นหาเท่านั้น คำตอบอาจไม่ได้อยู่ตรงหน้าที่ปรากฎแก่สายตา แต่อาจซ่อนอยู่เบื้องหลัง หรือซ่อนอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งในซอกหลืบทางความคิด



     
      เชื่อหรือไม่ครับว่า ก้อนหินทุกก้อน ล้วนมีมิติทางความคิดซ่อนอยู่ เป็นเสมือนลายแทงแห่งธรรมชาติ เป็นสื่อแทนทางนามธรรมสู่รูปธรรม ทุกครั้งที่ผมได้ลูบคลำสัมผัสกับมันก็รับรู้ได้ถึงพลังงานอันซ่อนเร้นแฝงอยู่ เป็นพลังงานบริสุทธิ์มีแรงดึงดูดในตัวเอง การค้นพบนี้ อาจเรียกว่าเป็นความอุปาทานเฉพาะตัวก็เป็นไปได้        แต่อะไรเล่า... เป็นสาเหตุให้ผมต้องพิสูจน์กับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยการถ่ายทอดรูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนก้อนหินเหล่านั้น
ผ่านรูปลักษณ์ของช้างไม่ถ่ายทอดเป็นอย่างอื่น..!
ก่อน                                                          หลัง


บ่อยครั้งที่มีคนมาชมงานแล้วถามว่า...ใช้อะไรแกะสลักหิน..! ในจำนวน10คน จะมี 1-2คนที่เข้าใจงานได้เองโดยที่ผมไม่ต้องอธิบาย นี่แสดงถึงความผิวเผินทางทัศนะที่มีต่อการชื่นชมงานศิลปะของคนส่วนใหญ่




     การสร้างงานศิลปะบนร่องรอยหินนั้นมีความยากง่ายแตกต่างกันไปตามลักษณะทางกายภาพของก้อนหินซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกฝน ผู้สร้างสรรค์ต้องผ่านขั้นพื้นฐานมาก่อนจากการเขียนรูปช้างบนก้อนหินปกติที่มีพื้นผิวราบเรียบทั่วไปเพราะถ้าก้าวกระโดดมาเจองานที่มีพื้นผิวขรุขระเขาจะไม่สามารถแก้สมการทางมิติแห่งร่องรอยหินที่ธรรมชาติได้ตั้งโจทย์เอาไว้อย่างแยบคาย





      มีเรื่องประทับใจเรื่องหนึ่ง หลวงตากับสามเณรเดินทางมาจากเชียงใหม่สอบถามได้ความว่าท่านมาทำธุระแถวนี้พอดี และเมื่อท่านเดินผ่านมาหน้าร้านของ ผม จึงหยุดอยู่และเข้ามาเยี่ยมชมงานศิลปะ  พอท่านเห็นก้อนหินเลยสนใจหยิบขึ้นมาดู ท่านถามว่า..ราคาเท่าไหร่ ผมพลิกให้ดูป้ายราคาที่ติดอยู่  พอหลวงตาเห็นเท่านั้นถึงกับอุทานด้วยความตกใจ ว่า ... โอ๊ะ..มันน่าเจ็บใจจริงๆ ก้อนหินที่เราเดินเหยียบไปเหยียบมานี่เอง.. หลวงตาอมยิ้มพูดกับสามเณรผู้ติดตาม แล้วชี้ให้ดูว่านี่แหละตัวอย่างของปัญญาหละ ไอ้พวกไม่มีปัญญามันเดินเหยียบไปมาใครจะรู้ว่า
วันหนึ่งมันจะต้องยอมควักเงินซื้อก้อนหินพวกนี้.. คิดแล้วช่างน่าเจ็บใจ...(หัวเราะ)



จากเดิมทีที่ผมเริ่มต้นทำงานศิลปะบนก้อนหินเพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึก ก้อนหินเหล่านั้นจะมีเงื่อนไขที่ว่า ต้องเป็นก้อนหินที่มีพื้นผิวราบเรียบ ทรงกลม กะทัดรัดเหมาะมือเพื่อความง่ายและสะดวกในการสร้างสรรค์ตลอดจนการจัดจำหน่าย ต่อมาเมื่อก้อนหินดังกล่าวหายากขึ้นทำให้เงื่อนไขที่ถูกตั้งไว้กับวัสดุสร้างสรรค์ถูกจำกัดมากขึ้น จากความง่ายก็กลายเป็นความยาก จากก้อนหินที่คิดว่าใช้วาดไม่ได้ก็ถูกนำกลับมาคิดวาดใหม่ จากก้อนหินที่เคยถูกเขี่ยทิ้งกลับกลายเป็นก้อนหินก้อนแรกๆที่ถูกเก็บแยกเอาไว้ไม่ให้ไปปนกับก้อนหินธรรมดาทั่วไป สาเหตุที่ต้องแยกกลุ่มก็เพราะก้อนหินที่อัปลักษณ์เหล่านั้นกลับสามารถเพิ่มมูลค่าให้ได้มากกว่าก้อนหินธรรมดาที่พื้นผิวราบเรียบสวยงาม





 การทำให้ของไร้ค่ามีคุณค่านั้น ต้องใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการฝึกฝน  เหมือนกันกับศิลปะการวาดรูปช้างบนก้อนหิน ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำให้มันมีมูลค่าขึ้นมาได้ บางทีก้อนหินก้อนหนึ่งถ้าไม่ถูกวาดจะยังดูมีค่ามากกว่า เพราะถ้าวาดออกมาไม่ดี มันจะทำให้ก้อนหินก้อนนั้นมีมลทินน่าเศร้าใจยิ่งกว่าความไร้ค่าในตัวของมันซะอีก





ติดตามข้อมูลเชิงลึกได้ในหนังสือ " ช้างในรอยหิน "
ความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในก้อนหิน...ยังรอคอยการพิสูจน์
วางจำหน่ายแล้วในรูปแบบ E- Book